วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กิจกรรมที่ 13 เรื่อง แนวทางการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคต

กิจกรรมที่ 13
1. ในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคตมี วัตถุประสงค์กี่ประการอะไรบ้าง
 ตอบ ในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในอนาคตมีวัตถุประสงค์อยู่ 4 ประการ
1. ตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้เพื่อทักษะแห่งอนาคตใหม่ในศตวรรษที่ 21
2. ตอบสนองความทันสมัยและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3. ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงของหลักสูตร และสาระการเรียนรู้
4. ตอบสนองการเรียนรู้รายบุคคลบนโลกสังคมออนไลน์

2. ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คืออะไร 
ตอบ ทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 คือ ความสามารถ สมรรถนะที่ต้องมีในแต่ละบุคคลเพื่อให้สามารถปรับตัว และด าเนินชีวิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตในสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และ
เทคโนโลยีในช่วงปี ค.ศ.2001-2100

3. บทบาทของผู้สอนยุคใหม่ในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้เป็นอย่างไร 
ตอบ  บทบาทของครูยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 ผู้อำนวยความสะดวกในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
1.             ผู้คอยชี้แนะและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้ด้วยตนเอง
2.             เสนอแนวทางให้ค้นคว้าหาความรู้
3.             อำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนได้ออกแบบและนำเสนอความรู้อย่างสร้างสรรค์
4.             สร้างแนวทางและชี้แนะให้ผู้เรียนวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้ด้วยตนเอง และแลกเปลี่ยนเรียนรู้
5.             ประเมินจากสภาพจริงและผลงานจากการปฏิบัติ
6.             สวมบทบาทเป็นพี่เลี้ยง ที่คอยอำนวยความสะดวกมาให้
7.             กำหนดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและยืดหยุ่นในการเรียนรู้ตามขอบเขตที่กำหนดไว้
8.             ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้
9.             เสนอแนะให้ผู้เรียนใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการแสวงหาความรู้
 มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้/ประสบการณ์ตรงจากผู้เรียนก่อให้เกิดทักษะในการแสวงหาความรู้

4. เทคนิควิธีการสอนแบบโครงงานในการใช้แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้มีกี่ประเภทอะไรบ้าง
ตอบ ประเภทของวิธีสอนแบบโครงงาน มี 3 ประเภท ได้แก่
1.การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามวัตถุประสงค์ของเนื้อหาสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้นั้น ๆ กล่าวคือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่มีเป้าหมายโดยกิจกรรมต่าง ๆ ผู้สอนนั้นต้องวางแผนให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ทักษะการคิด ทักษะการสื่อสารและความร่วมมือ ทัศนคติ ค่านิยม ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร
2. การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามความสนใจของผู้เรียน กล่าวคือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนนั้นเป็นผู้วางแผน และระดมสมองเพื่อกำหนดขั้นตอนการท าโครงงานของผู้เรียนโดยที่ผู้เรียน
นั้นทำตามความต้องการ และความสามารถของผู้เรียนแต่ละคน หรือกลุ่ม โดยมีเป้าหมายเดียวกันคือเป็นการบูรณาการทักษะ ความรู้ เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และทักษะต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร

3. การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผสมผสานบูรณาการแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้อื่น ๆ และเทคโนโลยีการศึกษา กล่าวคือ เป็นลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ผู้สอนได้น าหลักการแนวคิดทฤษฎีการศึกษา การเรียนรู้ และเทคโนโลยีการศึกษา เช่น การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผ่านสื่อสังคมออนไลน์ด้วยการน าตนเอง การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานตามแนวคิดจิตตปัญญา การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานผ่านคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต เป็นต้น

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

แบบฝึกหัด


แบบฝึกหัด
1. ให้นิสิตบอกวิธีการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศจากแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศ

ข้อมูลสารสนเทศบนเครือข่ายนั้นมีมากมายมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครือข่ายอินเทอร์เน็ตซึ่งเป็นเทคโนโลยีเครือข่ายที่สามารถเชื่อมต่อสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นในการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้ก็สามารถเข้าถึงแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ข้อมูลสารสนเทศได้ทั่วโลก โดยสามารถเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศได้ดังนี้

1.ใช้โปรแกรมค้นดูเว็บ หรือโปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลสารสนเทศและปฏิสัมพันธ์กับข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวซึ่งได้มีการจัดระบบในการให้บริการบนเว็บไซต์ซึ่งอาจจะมีการออกแบบและเขียนเว็บไซต์ดังกล่าวด้วยภาษาคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เช่น ภาษา HTML (Hyper Text Markup Language) ภาษา CSS (ย่อมาจาก Cascading Style Sheets) หรือภาษา XHTML (ย่อมาจาก Extensible HyperText Markup Language) เป็นต้น ส าหรับโปรแกรม Web Browser ที่ได้รับความนิยมทั้งในอดีตและในปัจจุบัน เช่น Internet Explorer Mozilla Firefox และ Google Chrome เป็นต้น




                                           สัญลักษณ์ของตัวอย่างโปรแกรม Web Browser

2. ใช้โปรแกรมช่วยในการสืบค้นข้อมูล (Search Engine) หรือทับศัพท์ เสิร์ชเอนจินซึ่งเป็นโปรแกรมในการเข้าถึงข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและระบบเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงเว็บไซต์ข้อมูลที่ต้องการค้นหา ซึ่งผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลสารสนเทศได้ทั้งข้อความ รูปภาพ สื่อมัลติมิเดีย ภาพเคลื่อนไหว วีดิโอ หรือข้อมูลสารสนเทศอื่น ๆ ตัวอย่างโปรแกรมช่วยในการสืบค้นข้อมูลที่ให้บริการ ได้แก่ http://www.google.com นิยมมากที่สุด


                                                       หน้าเว็บไซต์ของ http://www.google.co.th

2.URL คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรกับ แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
เว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมานั้นจะจัดเก็บไว้ที่ระบบบริการเว็บหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ตขนาดใหญ่ที่เรียกว่า เวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web : WWW) โดยผู้ใช้สามารถระบุที่อยู่ของทรัพยากรบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า URLs (Uniform Resource Locators) ซึ่งมีส่วนประกอบด้วย 2 ส่วน ได้แก่
1. โปรโตคอล (Protocal) คือ แหล่งที่อยู่ของทรัพยากรซึ่งโปรโตคอลพื้นฐานสาหรับโปรแกรมค้นดูเว็บ คือ http
2. ชื่อโดเมน (Domain name) คือ ชื่อที่ใช้เรียกเพื่อระบุลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อไปค้นหาในระบบ เพื่อระบุถึง ไอพีแอดเดรส (IP-Address) ของชื่อดังกล่าว ซึ่งมีผู้จดทะเบียนระบุให้กับผู้ใช้เพื่อเข้ามายังเว็บไซต์ของตน บางครั้งเราอาจจะใช้ "ที่อยู่เว็บไซต์" แทนก็ได้ เช่น www.buu.ac.th, www.ch3.com เป็นต้น ซึ่งชื่อโดเมนนี้จะมีการจัดประเภทของหน่วยงานบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ดังนั้นผู้เข้าถึงข้อมูลสารสนเทศจึงจาเป็นต้องรู้ชื่อโดเมนส่วนสุดท้ายซึ่งจะมีการคั่นด้วยมหัพภาค (.) หรือจุด (Dot) ซึ่งเรียกโดเมนส่วนสุดท้ายนี้ว่า ชื่อโดเมนในระดับบนสุด (Top Level Domain : TLD)


                              ส่วนประกอบของที่อยู่เว็บไซต์ (URL) ในการใช้โปรแกรมค้นดูเว็บ


3. หลักการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของแหล่งแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์เครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีอะไรบ้าง
ข้อมูลสารสนเทศบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นมีมากมายมหาศาลซึ่งในการสืบค้นข้อมูลนั้นต้องใช้วิจารณญาณเพื่อการตรวจสอบและประเมินเพื่อเลือกใช้ข้อมูลสารสนเทศได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดในการนาไปใช้ ดังนั้นประเด็นในการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ประกอบด้วย 3 ประเด็น วัตถุประสงค์ความต้องการในการนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ คุณภาพของเว็บไซต์ที่ใช้ในการเผยแพร่ และเนื้อหาที่ใช้ในการเผยแพร่ ซึ่งมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
1. ประเมินวัตถุประสงค์ความต้องการในการนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้ ประกอบด้วย
1.1 ผู้ใช้ต้องวิเคราะห์ความต้องการของตนในการนาข้อมูลสารสนเทศไปใช้
1.2 ผู้ใช้แยกแยะประเด็น และเลือกหัวข้อที่ต้องการสืบค้น
 2. พิจารณาด้านคุณภาพเว็บไซต์ที่ใช้ในการเผยแพร่ ได้แก่
2.1 ข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ใน เว็บไซต์หรือไม่
2.2 ข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวนั้นเป็นสาระเนื้อหาตรงตามวัตถุประสงค์ใน การสร้าง หรือเผยแพร่ข้อมูลของเว็บไซต์หรือไม่
2.3 เว็บไซต์ดังกล่าวได้ให้ที่อยู่ e-mail address ในการให้ผู้อ่านติดต่อ สอบถามหรือไม่ หรือสามารถติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์ได้หรือไม่
2.4 เว็บไซต์ดังกล่าวสามารถเชื่อมโยง (link) ไปยังเว็บไซต์อื่นที่อ้างถึง ได้หรือไม่
2.5 เว็บไซต์ดังกล่าวมีการปรับปรุงข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องหรือไม่
2.6 เว็บไซต์ดังกล่าวมีช่องทางให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็น
2.7 เว็บไซต์ดังกล่าวมีข้อความเตือนผู้อ่านให้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ ใช้ข้อมูลที่ปรากฏบนเว็บไซต์
2.8 เว็บไซต์ดังกล่าวควรมีการระบุข้อความว่า เป็นเว็บไซต์ส่วนตัวหรือระบุแหล่งที่ให้การสนับสนุนในการสร้างเว็บไซต์
2.9 เว็บไซต์ดังกล่าวมีข้อความเตือนผู้อ่านให้ใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจ ใช้ข้อมูลที่ปรากฏบนเว็บไซต์
3. พิจารณาด้านเนื้อหาข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์ที่นาเสนอ ได้แก่
3.1 ข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวมีการบอกแหล่งที่มาของข้อมูลหรือมีการอ้างอิง
เนื้อหาที่นำเสนอบนเว็บไซต์หรือไม่
3.2 เนื้อหามีการระบุวันเวลาในการเผยแพร่ข้อมูลบนเว็บไซต์
                3.3 เนื้อหาเว็บไซต์ไม่ขัดต่อกฎหมาย ศีลธรรม และจริยธรรม
3.4 เนื้อหาข้อมูลสารสนเทศระบุวันเวลาในการปรับปรุงข้อมูลครั้งล่าสุดหรือไม่
3.5 เนื้อหาดังกล่าวในข้อมูลสารสนเทศมีการระบุชื่อผู้เขียนบทความหรือผู้ให้ข้อมูลบนเว็บไซต์
หรือไม่
3.6 คุณภาพของเนื้อหาสาระในการเขียนเนื้อหาข้อมูลสารสนเทศบนเว็บไซต์ มีความถูกต้อง
3.7 เนื้อหาสารสนเทศบนเว็บไซต์ดังกล่าวไม่มีความลาเอียงในการนาเสนอสาระ หรือการแสดงความคิดเห็น โดยควรใช้ข้อเท็จจริงในการสนับสนุนการวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นดังกล่าว

4. Virtual Field Trip คืออะไร
การศึกษานอกสถานที่เสมือนจริง หมายถึง เป็นการจาลองแบบสถานการณ์ให้ใกล้เคียงกับสถานการณ์จริงหรือสถานที่จริงด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทาให้ผู้เรียนได้เห็นจริงและเข้าใจง่าย


5. จงบอกความหมายของพิพิธภัณฑ์เสมือนจริง พร้อมยกตัวอย่างด้วยการทำ Link เว็บพิพิธภัณฑ์เสมือนจริงมาคนละ 1 เว็บไซต์
พิพิธภัณฑ์เสมือนจริง (Virtual  museum)  คือรูปแบบของการจัดนิทรรศการของพิพิธภัณฑ์ดั้งเดิมที่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงให้สามารถดึงดูดความสนใจให้มีผู้เข้าชมและเรียนรู้  โดยอาศัยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์  ระบบการสื่อสารและอินเทอร์เน็ต  มาสร้างสื่อมัลติมีเดียหรือสื่อผสม  ให้เป็นภาพ  3  มิติ  อาจเป็นภาพนิ่งหรือเคลื่อนไหวก็ได้  ดูภาพได้ทุกทาง  อาจมีเสียง  คำบรรยายประกอบ  หรือเป็นวีดิทัศน์สั้น ๆ ให้ผู้ชมรู้สึกเสมือนอยู่ในสถานที่จริง  เป็นการประหยัดเวลา  พลังงาน  งบประมาณจากการที่ต้องไปชมสถานที่จริง  และยังชดเชยได้ในเรื่องของการดูวัตถุด้วยการหมุนวัตถุ  สามารถดูใกล้ ๆ ได้
           พิพิธภัณฑ์เสมือนจริงมีความน่าในใจที่จะนำมาใช้เป็นสื่อสนับสนุนการเรียนรู้  คือ  สนับสนุนให้ผู้ใช้กระตือรือร้นที่จะได้เรียนรู้ด้วยตนเอง  ช่วยอนุรักษ์และเผยแพร่นำเสนอทรัพยากรของท้องถิ่น  พิพิธภัณฑ์เสมือนจริงเป็นสื่อผสมหลายสาขาวิชาที่กระตุ้นประสาทสัมผัสด้วยความเคลื่อนไหว  ทำให้ผู้ใช้มีโอกาสใช้ประสาทสัมผัสในการเรียนรู้  ซึ่งก่อให้เกิดการรู้จักคิดได้หลายรูปแบบ  และสนับสนุนการเรียนรู้ให้สดชื่นมีชีวิตชีวา


6. จงบอกความหมายของเทคโนโลยี AR มีประโยชน์อย่างไรในการเป็นแหล่งการทรัพยากรการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
1.เทคโนโลยีเสมือนจริง หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “เทคโนโลยี AR” (Augmented Reality) เป็นเทคโนโลยีที่ผสมผสานเอาโลกในความเป็นจริงและโลกเสมือนที่สร้างขึ้นมาผสานเข้าด้วยกันผ่านซอฟต์แวร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่าง ๆ เป็นการสร้างข้อมูลอีกข้อมูลหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบบนโลกเสมือน (virtual world) เช่น ภาพกราฟิก วิดีโอ รูปทรงสามมิติ และข้อความ ตัวอักษร ให้ผนวกซ้อนทับกับภาพในโลกจริงที่ปรากฏบนกล้อง



2.โปรแกรมที่ใช้ในการออกแบบ Model 3 มิติ สามารถสร้างงานเขียนแบบหรือภาพจาลองได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว แม้ว่าผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการทางานโปรแกรม 3 มิติมาก่อน ก็สามารถที่จะเรียนรู้ และลองหัดสร้าง Model 3 มิติด้วยเครื่องมือที่มีให้ในโปรแกรมได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว Sketchup ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท @Last ในปี ค.ศ.1999 ซึ่งมีเป้าหมายที่จะ
-พัฒนาโปรแกรมออกแบบ Model 3 มิติ โดยมี Interface ที่เรียบง่ายและใช้งานสะดวก
-ให้ผู้ใช้งานสนุกกับการสร้างและออกแบบ
-ทำให้ผู้ออกแบบมีลูกเล่นในส่วนของงานออกแบบและนาเสนอ โดยที่โปรแกรมอื่นๆ ไม่สามารถทำได้
ปัจจุบัน Sketch Up ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ระดับด้วยกันคือ ระดับ Personal Use และแบบมือโปรที่เป็น Professional Use ซึ่งก็คือ Google Sketch Up และ Sketch Up Pro นั่นเอง โดยจุดที่แตกต่างกันของทั้งสองประเภทก็คือ การส่งออกไฟล์การสร้าง Interactive Presentations และการพิมพ์ (Print) ที่มีความละเอียด (Resolutions) ที่แตกต่างกัน Sketch Up Pro ก็จะมีทุกอย่างที่สมบูรณ์แบบ แต่ใน Google Sketch Up ก็จะมีเท่าที่จำเป็น
ที่น่าสนใจก็คือ Sketch Up มีฟังก์ชั่นสาหรับการ Get Models และ Share Models โดยที่สามารถนาไฟล์ชิ้นงานสามมิติที่มีผู้อื่นได้ทาไว้แล้ว หรือที่เราได้สร้างขึ้นนาไปแบ่งปันกันผ่านระบบเครือข่าย โดยสร้างระบบคลังข้อมูลขึ้นมาภายใต้ชื่อว่า 3D Warehouse

แหล่งการเรียนรู้ต้นแบบ สถาบันวิทยาศาตร์ทางทะเล

สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล
Bangsaen Institute of Marine Science
ประวัติความเป็นมา สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล
สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยบูรพา ได้รับการพัฒนามาจาก พิพิธภัณฑ์สัตว์และสถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็มซึ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2512 โดยคณะอาจารย์ภาควิชาชีววิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน (วิทยาลัยวิชาการศึกษา บางแสนเดิม) และนิสิตอีกจำนวนหนึ่งโดย ดร.บุญถิ่น อัตถากร อดีตอธิบดีกรมการฝึกหัดครูและอดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้สนับสนุนการดำเนินโครงการดังกล่าว


     
    พิพิธภัณฑ์สัตว์และสถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม เปิดให้ประชาชนเข้าชมอย่างไม่เป็นทางการตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2513 และในวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2519 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน ได้กราบทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์อัครราชกุมารี ทรงประกอบพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์สัตว์และสถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม     
  พิพิธภัณฑ์สัตว์และสถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นลำดับจนไม่สามารถขยายออกไปได้อีก ทั้งนี้เนื่องจากตัวอาคารมีขนาดจำกัดและไม่ได้ออกแบบไว้สำหรับการนี้โดยตรง เพื่อเป็นการขยายกิจการของพิพิธภัณฑ์สัตว์และสถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็มให้กว้างขวางยิ่งขึ้นกว่าเดิมทางมหาวิทยาลัยโดยการนำของ ดร.ทวี หอมชงและคณะได้จัดทำโครงการขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2523 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าในการจัดตั้งศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลเป็นมูลค่า 230 ล้านบาท โดยเริ่มก่อสร้างในวันที่ 1 ธันวาคม 2524 ณ บริเวณด้านหน้าของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตบางแสน ในเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่
       สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาเสด็จทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2525 การก่อสร้างแล้วเสร็จ และมีพิธีมอบให้แก่มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2526
      พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงกระทำพิธีเปิดศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเล เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2527 จากนั้นศูนย์วิทยาศาสตร์ทางทะเลได้จัดทำโครงการเพื่อยกฐานะเป็นสถาบัน และได้รับอนุมัติให้เป็นสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2528
      สถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเลให้บริการด้านความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลแก่บุคคลทั่วไปในรูปแบบหลักๆ 2 แบบ คือ สถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม และพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล
       นอกจากนี้ยังมีการให้บริการด้านวิชาเพื่อเป็นการให้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลแก่เยาวชนและบุคคลทั่วไปโดยการออกไปจัดนิทรรศการในที่ต่างๆ การจัดการฝึกอบรม และการจัดสัมมนาวิชาการ เป็นต้น ซึ่งสามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
สถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม
เป็นส่วนที่จัดแสดงเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและความเป็นอยู่ของสัตว์ทะเลชนิดต่างๆที่อาศัยอยู่ในเขตน่านน้ำของไทย โดยทรัพยากรที่ใช้ในการให้ความรู้คือสิ่งมีชีวิตในทะเลชนิดต่างๆทั้งพืชและสัตว์ที่ยังมีชีวิต โดยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะถูกเลี้ยงในระบบน้ำหมุนเวียนแบบปิดที่มีระบบยังชีพสำหรับให้สิ่งมีชีวิตต่างๆเหล่านี้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ในแต่ละตู้มีการจัดสภาพให้ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด แต่ละตู้จะมีป้ายเพื่อบ่งบอกชนิดสัตว์ทะเลที่อยู่ในตู้ทั้งชื่อสามัญและชื่อทางวิทยาศาสตร์
พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ทางทะเล
พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ของ อาคารสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล เป็นส่วนที่จัดแสดงให้ในรูปแบบของนิทรรศการ ดังนั้นทรัพยากรที่ใช้ในการจัดแสดงจะเป็นรูปแบบนิทรรศการที่ประกอบด้วยแผ่นข้อมูล ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตในทะเลที่ทำการเก็บรักษาด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ตัวอย่างที่ดองด้วยน้ำยาฟอร์มาลิน ตัวอย่างแห้ง ตัวอย่างสัตว์สตั๊ฟ เป็นต้น โดยการจัดแสดงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่
ส่วนแรก จัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ เกี่ยวกับพระราชกรณีกิจทางด้านการฟื้นฟู อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และด้านวิทยาศาสตร์การประมง
ส่วนที่สอง จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับเรื่องราวของทะเล ระบบนิเวศ และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในทะเล รวมทั้งความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์ ดังมีรายละเอียดดังนี้
1. นิทรรศการเรื่องราวของอาณาจักรของสิ่งมีชีวิตในทะเล โดยให้ความรู้ตั้งแต่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆที่อาศัยอยู่ในทะเล คือ แพลงก์ตอนซึ่งมีบทบาทสำคัญของห่วงโซ่อาหารในทะเล สาหร่าย และหญ้าทะเล ฟองน้ำ สัตว์ที่มีโพรงลำตัว เช่น ปะการัง ดอกไม้ทะเล แมงกะพรุน เป็นต้น สัตว์จำพวกหนอนทะเล เช่น หนอนตัวแบนหนอนปล้อง หนอนริบบิ้น เป็นต้น สัตว์จำพวกหอย เช่น หอยฝาเดียว หอยฝาคู่ หมึก และหอยงวงช้าง เป็นต้น สัตว์ที่มีข้อปล้องในทะเล เช่น ปู กุ้ง กั้ง และแมงดาทะเล เป็นต้น สัตว์จำพวกคอร์เดทในทะเล เช่น เพรียงหัวหอม แอมฟิออกซัส และสัตว์ทะเลที่มีกระดูกสันหลัง ชนิดต่างๆ ได้แก่ ปลาทะเล โลมา พะยูน เต่าทะเล และจระเข้น้ำเค็ม รวมทั้งเรื่องราวของทะเล และสิ่งมีชีวิตในทะเลยุคดึกดำบรรพ์ เป็นต้น 
2. นิทรรศการเรื่องราวของทะเล และระบบนิเวศในทะเล ในส่วนนี้จะกล่าวถึงการแบ่งเขตของทะเล และระบบนิเวศต่างๆในทะเล รวมทั้งพืช และสัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ในแต่ละระบบนิเวศ โดยเริ่มตั้งแต่ ระบบนิเวศของป่าชายเลน ระบบนิเวศหาดหิน ระบบนิเวศหาดทราย และหาดโคลน ระบบนิเวศแนวปะการัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์ เช่น เป็นแหล่งทำการประมงโดยใช้เครื่องมือประมงทะเล เช่น โป๊ะ และเรือประมงทะเลชนิดต่างๆ เป็นเส้นทางค้าขาย และเดินทางติดต่อกันของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งต้องพบกับอุปสรรคนานาประการจากคลื่น ลม และพายุ จนทำให้เรืออัปปางเกิดเป็นเรื่องราวของการขุดค้น และศึกษาโบราณคดีใต้น้ำเป็นต้น
3. นิทรรศการเกี่ยวกับความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์ เป็นส่วนที่จัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับความสำคัญของทะเลที่มีต่อมนุษย์ เช่น เป็นแหล่งทำการประมงโดยใช้เครื่องมือประมงทะเล เช่น โป๊ะ และเรือประมงทะเลชนิดต่างๆ เป็นเส้นทางค้าขาย และเดินทางติดต่อกันของมนุษย์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งต้องพบกับอุปสรรคนานาประการจากคลื่น ลม และพายุ จนทำให้เรืออัปปางเกิดเป็นเรื่องราวของการขุดค้น และศึกษาโบราณคดีใต้น้ำเป็นต้น
4. ห้องพิพิธภัณฑ์เปลือกหอย และวิวัฒนาการของหอย ในห้องนี้จะจัดแสดงเกี่ยวกับเปลือกหอยที่พบในทะเลกลุ่มต่างๆ ได้แก่ ลิ่นทะเล หอยฝาเดียว หอยฝาคู่ หอยงวงช้าง และหอยงาช้าง เป็นต้น รวมทั้งนิทรรศการความรู้เกี่ยวกับหอยแต่ละกลุ่ม วิวัฒนาการของหอยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และการแบ่งกลุ่มของหอยที่มีอยู่ในโลก
เวลาเปิดให้บริการ
·         ปิดทำการทุกวันจันทร์
·         วันอังคาร ศุกร์ เวลา 08.30 – 16.00 น.
·         วันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.30 – 17.00 น.
การแสดงโชว์พิเศษ
ชมการสาธิตการดำน้ำให้อาหารปลาที่ตู้ปลาตู้ใหญ่ที่มีความจุประมาณ 200 ตัน (ประมาณ 200,000 ลิตร) ในสถานเลี้ยงสัตว์น้ำเค็ม ตื่นตาตื่นใจกับความน่ารักของปลาหมอทะเลในขณะที่ทานอาหารจากมือนักประดาน้ำ ที่ต้องป้อนอาหารให้ถึงปากปลาหมอทะเลที่มีอยู่ประมาณ 5 ตัว มีน้ำหนักประมาณ 100 กิโลกรัม ขึ้นไป
·         วันอังคาร ศุกร์ เวลา 14.30 น.
·         วันเสาร์ อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.30 น. รอบสองเวลา 14.30 น.
อัตราาเข้าค่าเข้าชม
·         เด็ก 15 บาท นักเรียน 10 บาท
·         ผู้ใหญ่ 30 บาท นิสิต/นักศึกษา 15 บาท
ชาวต่างชาติ
·         เด็ก 50 บาท ผู้ใหญ่ 100 บาท
อัตราการเข้าชมเป็นหมู่คณะที่ติดต่อเข้าชมล่วงหน้า
บรรยากาศการศึกษานอกสถานที่




ภูมิปัญญาท้องถิ่น

ภูมิปัญญาท้องถิ่น
การทำปลาเค็ม



ชื่อ ภูมิปัญญา : ปลาเค็ม
ประเภทของภูมิปัญญา : ภูมิปัญญาเกี่ยวกับระบบการผลิตหรือประกอบอาชีพที่มีลักษณะมุ่งเน้นระบบการผลิตเพื่อตนเอง
สถานที่ของการเก็บข้อมูล : บ้านป้าเปี๊ยก (นางวิไล  ถวิลหา) ชุมชนหาดวอน
      องค์ความรู้ที่ได้
คือ การถนอมอาหารโดยวิธีการทำปลาเค็มเพื่อให้สามารถเก็บไว้รับประทานได้ในระยะเวลาที่นานยิ่งขึ้น ชนิดของปลาที่สามารถนำมาใช้ในการทำปลาเค็ม เช่น ปลาสีกุน ปลาตัวเก็ง ปลายี่ลง ปลาจวด ปลาเฉลียบและปลาช่อนทะเล เป็นต้น
วิธีการทำปลาเค็ม
        1.นำปลามาตัดหัวแล้วเอาไส้ออกและทำความสะอาด ปลาที่ขอดเกร็ดเช่น ปลาจวด ส่วนปลาเฉลียบนั้นไม่จำเป็นต้องเอาไส้ออก
        2.นำปลาที่ผ่านการทำความสะอาดแล้วไปหมักไว้ในบ่อน้ำเกลือประมาณ 3-4 ชั่วโมง ส่วนปลาตัวเก็ง ปลายี่ลงและปลาเฉลียบนั้นต้องแช่ไว้ค้างคืน
        3.นำปลาที่ผ่านการแช่น้ำเกลือแล้วไปขึ้นตะแกรงเพื่อทำการตากแห้ง ในวันที่มีแดดดีใช้ระยะเวลาในการตากแห้งประมาณครึ่งวัน หากวันไหนไม่มีแดดก็จะนำไปผึ่งลม
 4.เก็บปลาเค็มที่แห้งแล้วนำใส่ถุงเพื่อแบ่งขาย ในการขายนั้นจะมีแม่ค้ามารับถึงที่โดยขายในราคาส่งและราคาจะแตกต่างกันออกไป เช่นปลาหวาน กิโลกรัมละ 80 บาท  ปลาช่อนทะเล กิโลกรัมละ 170 บาท และปลาเฉลียบ กิโลกรัมละ 70 บาทเป็นต้น

        ระยะเวลาในการทำงานแต่ละวันขึ้นอยู่กับจำนวนปลาที่รับมา  ทำจนกว่าปลาที่มีจะหมด โดยเริ่มทำตั้งแต่ตีสี่เป็นต้นไปนอกเหนือจากการนำเนื้อปลาไปทำปลาเค็มแล้ว ก็ยังมีปลาหวาน และส่วนที่เหลือ เช่น หัว ก้างและไส้จะนำไปขายให้กับโรงงานแปรรูปเพื่อนำไปทำอาหารเป็ด
กลุ่มสาระในการเรียนรู้ : การงานอาชีพและเทคโนโลยี
กลุ่มเป้าหมายในการเรียนรู้ :
            1. ลูกหลานเพื่อสืบทอดกิจการ
            2. นักเรียน นิสิต นักศึกษาที่สนใจและต้องการเรียนรู้
            3. ชาวบ้านและประชาชนทั่วไปที่สนใจ
แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แหล่งการเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นฐาน
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2  การแปรรูปและการถนอมอาหาร
สาระที่ 4 การอาชีพ                                                  เวลา 2 ชั่วโมง
หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 อาหารและโภชนาการ
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี        ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
1. สาระสำคัญ
            การแปรรูปและการถนอมอาหาร จะช่วยให้มีอาหารที่สะอาด ปลอดภัยบริโภคตลอดทั้งปีและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหาร ทั้งนี้ยังเป็นการประหยัดและเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัวได้เป็นอย่างดี
2. ตัวชี้วัดช่วงชั้น
1.1     ม.4-6/2  สร้างผลงานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ และมีทักษะในการทำงานร่วมกัน
             ม.4-6/3  มีทักษะการจัดการในการทำงาน
             ม.4-6/4  มีทักษะกระบวนการแก้ปัญหาในการทำงาน
             ม.4-6/5  มีทักษะในการแสวงหาความรู้เพื่อการดำรงชีวิต
             ม.4-6/6  มีคุณธรรมและลักษณะนิสัยในการทำงาน
             ม.4-6/7  ใช้พลังงาน ทรัพยากร  ในการทำงานอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน เพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความสำคัญของการแปรรูปและการถนอมอาหารได้
            2. บอกวิธีถนอมอาหารได้อย่างถูกต้อง
            3. บอกหลักการเลือกอุปกรณ์ที่ใช้ในการถนอมอาหารได้
            4. แปรรูปและถนอมอาหารได้อย่างถูกต้องอย่างน้อย 1 ชนิด
4. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้

ด้านความรู้ (K)
ด้านคุณธรรม จริยธรรม
และค่านิยม (A)
ด้านทักษะ/กระบวนการ (P)
1.ทดสอบก่อนเรียน
2.บอกความสำคัญของการแปรรูปและการถนอมอาหารได้  
2. ซักถามความรู้เรื่อง การแปรรูปและการถนอมอาหาร
3.บอกวิธีถนอมอาหารได้อย่างถูกต้อง
 4.บอกหลักการเลือกอุปกรณ์ที่ใช้ในการถนอมอาหารได้
5.ตรวจผลงาน/กิจกรรมเป็น
   รายบุคคลหรือเป็นกลุ่ม
6.แบบทดสอบหลังเรียน
- ประเมินพฤติกรรมในการ
  ทำงานเป็นรายบุคคลในด้าน
  ความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้
  ฯลฯ
 
-ประเมินพฤติกรรมในการ
   ทำงานเป็นรายบุคคลและเป็น
   กลุ่มในด้านการสื่อสาร   
   การคิด การแก้ปัญหา ฯลฯ
-แปรรูปและถนอมอาหารได้อย่าง    ถูกต้องอย่างน้อย 1 ชนิด
5. สาระการเรียนรู้
สาระการเรียนรู้แกนกลาง
       
1. ทักษะการทำงานร่วมกัน เป็นการทำงานกลุ่ม ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขทำงานอย่างมีกระบวนการ  ตามขั้นตอนและฝึกหลักการทำงานกลุ่ม
        2. ทักษะการจัดการ  เป็นการจัดระบบงานและระบบคน  เพื่อให้การทำงานสำเร็จตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
        3. ทักษะกระบวนการแก้ปัญหาในการทำงาน มีขั้นตอน คือ การสังเกต วิเคราะห์  สร้างทางเลือก และประเมินทางเลือก
            - การแปรรูป ถนอมอาหาร
        4. คุณธรรมและลักษณะนิสัยในการทำงานเป็นการสร้างคุณงามความดี และควรฝึกให้ผู้เรียนมีคุณภาพที่สำคัญๆ เช่น ขยัน อดทน  รับผิดชอบ และซื่อสัตย์
        5. การใช้พลังงาน ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน เป็นคุณธรรมในการทำงาน
6. แนวทางบูรณาการ
    คณิตศาสตร์                      การกำหนดราคาสินค้าและการทำบัญชีรายรับรายจ่าย
    ภาษาไทย               การฟัง พูด อ่าน และเขียนจากสิ่งที่ได้รับความรู้
7. กระบวนการจัดการเรียนรู้
ขั้นที่ 1 นำเข้าสู่บทเรียน
ครูแจ้งตัวชี้วัดช่วงชั้นและจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ
ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน
ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างประเภทของอาหารที่สามารถนำมาแปรรูปและถนอมอาหารและครูให้นักเรียนแสดงความคิดเห็น แล้วโยงเข้าสู่บทเรียน
ขั้นที่ 2 กิจกรรมการเรียนรู้
                  ครูและนักเรียนร่วมกันสนทนาเกี่ยวกับวัตถุดิบที่สามารถนำมาถนอมอาหารได้และหาได้จากสิ่งแวดล้อมในท้องถิ่น เช่น ปลา ปลาหมึก กุ้งเป็นต้นและปัญหาเกี่ยวกับราคาอาหารทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นแต่ทั้งนี้ชาวประมงก็ยังมีรายได้น้อยไม่เพิ่มขึ้นตามราคาอาหารทะเลที่สูงขึ้น
                  ครูถามนักเรียนว่า  หากนักเรียนเป็นชาวประมงนักเรียนจะมีวิธีในการแก้ปัญหาอย่างไร แล้วครูเปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ  เพื่อเป็นการฝึกกระบวนการคิดวิเคราะห์
                  นักเรียนร่วมกันสรุปวิธีการแก้ปัญหา  โดยมีแนวทางในการสรุป  ดังนี้
    - ใช้วิธีการแปรรูปและถนอมอาหาร  เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่ครอบครัวและเป็นทางเลือกของผู้บริโภค เช่น ปลาเค็ม กุ้งแห้ง กะปิ ปลาหมึกแห้ง
ขั้นที่ 2 กิจกรรมการเรียนรู้(ต่อ)
                  ครูชมเชยนักเรียนทุกคนที่ช่วยกันระดมวิธีแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
                  ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม  กลุ่มละ 6 คน เพื่อร่วมกันศึกษาความรู้เรื่อง การเก็บอาหารและการถนอมอาหาร จากหนังสือเรียน
                  ครูตั้งประเด็นคำถามเพื่อให้นักเรียนช่วยกันตอบ เพื่อประเมินความรู้ความเข้าใจ แล้วให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสรุปความรู้
                  ครูแจ้งให้นักเรียนทราบว่า จะให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันทำโครงงานการแปรรูปและการถนอมอาหาร   โดยครูอธิบายวิธีการเขียนโครงงานให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจและสามารถนำไปปฏิบัติได้
ขั้นที่ 2 กิจกรรมการเรียนรู้(ต่อ)
                  ครูพานักเรียนไปศึกษานอกสถานที่ชุมชนใกล้โรงเรียนที่ทำปลาเค็ม กะปิและอาหารทะเลตากแห้งเพื่อไปทดลองทำปฏิบัติจริงเพื่อให้นักเรียนมีความรู้และประสบการณ์จริง
                  ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสำรวจหาวัตถุทางทะเล  เพื่อนำข้อมูลมาพิจารณาและตัดสินใจเลือกการแปรรูปอาหาร หรือถนอมอาหารของกลุ่ม
นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่
ขั้นที่ 3 ฝึกฝนผู้เรียน
                  สมาชิกในกลุ่มช่วยกันแสดงความคิดเห็น และวิเคราะห์ตัดสินใจเลือกชนิดของวัตถุทางทะเลที่มีในท้องถิ่นที่จะนำมาทำโครงงานแปรรูปและถนอมอาหาร โดยมีครูคอยให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด
                  นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันวางแผนการปฏิบัติโครงงานตามขั้นตอน ดังนี้
    - วางแผนการทำงาน  กำหนดระยะเวลา  กำหนดขั้นตอนการทำงาน  เตรียมวัสดุ-อุปกรณ์ และประเมินค่าใช้จ่าย
    - ลงมือปฏิบัติการแปรรูปอาหารหรือการถนอมอาหาร
    - ประเมินผลการปฏิบัติงานของกลุ่มและนำเสนอผลงาน   
ขั้นที่ 4 นำไปใช้
                  ครูให้นักเรียนทุกกลุ่มนำผลงานจากโครงงานแปรรูปและถนอมอาหารมาจัดแสดง หรือจัดจำหน่ายในโรงเรียน  เพื่อเป็นการให้ความรู้และให้ผู้ร่วมงานเห็นความสำคัญของการแปรรูปอาหารและการถนอมอาหารที่เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน
ขั้นที่ 5 สรุป
                  ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปความรู้เรื่อง การแปรรูปและการถนอมอาหาร
8. กิจกรรมเสนอแนะ
                  ครูให้นักเรียนนำผลงานจากโครงงานแปรรูปและถนอมอาหารมาจัดแสดงหรือจัดจำหน่ายในโรงเรียนเพื่อให้ผู้ร่วมงานเห็นถึงความสำคัญของการแปรรูปและการถนอมอาหาร
9. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
สื่อการเรียนรู้
           
1. หนังสือเรียน การงานอาชีพและเทคโนโลยี  ม.4
            2. วัตถุดิบ วัสดุ-อุปกรณ์ในการแปรรูปและถนอมอาหาร
            3.แบบทดสอบก่อนเรียนและแบบทดสอบหลังเรียน
แหล่งการเรียนรู้
           
1. ห้องสมุด
            2. แหล่งข้อมูลสารสนเทศ                                                                                      http://www.trueplookpanya.com/true/lesson_plan_detail.php?lesson_plan_id=579
3.ศึกษานอกสถานที่ ณ ชุมชนในท้องถิ่น
10. บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้
1. ความสำเร็จในการจัดการเรียนรู้                                                           
            แนวทางการพัฒนา                                                             
2. ปัญหา/อุปสรรคในการจัดการเรียนรู้                                                   
            แนวทางแก้ไข                                                                      
3. สิ่งที่ไม่ได้ปฏิบัติตามแผน                                                                     
            เหตุผล                                                                                  
4. การปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรู้                                                      
                                   
                                    ลงชื่อ                                                              ผู้สอน
ขอขอบคุณ
                  ป้าเปี๊ยก (นางวิไล  ถวิลหา) ที่ให้ความรู้ในการทำปลาเค็มและเอื้อเฟื้อสถานที่ในการถ่ายทำ
                  ว่าที่เรือตรี ดร.อุทิศ  บำรุงชีพ อาจารย์ประจำวิชาที่ให้ความรู้และกำหนดหัวข้อในการศึกษา